เพราะอะไร “กระบี่” ถึงเป็นสถานที่ที่หนังดังจากต่างประเทศมักจะมาถ่ายทำ
ไม่ว่าจะเป็น Cutthroat Island, Around the World in 80 Days, Star Wars: Episode III Revenge of the Sith, Stealth, The Hive, Heaven & Earth หรือ The beach ที่ใช้ทะเลกระบี่เป็นฉากหลักของเรื่อง วันนี้เราจะพาทุกคนไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของกระบี่เพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง
ในทริปนี้เราไปกัน 3 วัน 2 คืน จะพาไปพายเรือเยือนสถานที่อันซีนไทยแลนด์อย่าง
“อ่าวท่าเลน” เซลฟี่กับ “ปูดำ” สัญลักษณ์เมืองกระบี่ ตะลุยสี่เกาะดัง (ถ้ำพระนาง
เกาะปอดะ เกาะไก่ ทะเลแหวก) และชิมอาหารแซ่บเว่อร์ ณ ร้าน วังทราย พร้อมไปรึยัง?
88 โฮสเทล ที่พักนักเดินทางในราคาสบายกระเป๋า
เมื่อเครื่องร่อนลงจอดที่สนามบินกระบี่เราก็เดินทางโดยรถตู้ของที่พักไปยังโฮสเทลเล็ก
ๆ ในเขตอ่าวนางที่ชื่อว่า 88 Hostel พี่เจ้าของที่นี่ใจดีมาก เตียงเป็นแบบเตียงสองชั้น ห้องหนึ่งพักได้ 12 คน เหมาะสำหรับแบกแพ็กเกอร์ที่เน้นราคาประหยัด
พายเรือที่ “อ่าวท่าเลน” แกรนด์ แคนยอนแห่งเมืองไทย
จากอ่าวนางไปไปอ่าวท่าเลนใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที เส้นทางไปเต็มไปด้วยภูเขาหินที่มีพืชพรรณปกคลุม
ต้นไม้สูง ๆ เหมือนฉากในหนังเรื่อง Around the World in 80 Days เลย
ที่นี่เราจะไปพายเรือคายัคกัน ใครพายเรือไม่เป็นก็ไม่ต้องห่วงเพราะจะมีไกด์มาสอนวิธีการพายกันก่อนลงสนามจริง ตอนแรกที่คิดว่าพายเรือเป็นเรื่องหมูๆ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ทันทีที่ได้ลองจับไม้พายดู โหว แอบยากนะเนี่ย เรือลำหนึ่งขึ้นได้สองคน แนะนำว่าให้มีผู้ชายไปด้วยเพราะแรงผู้ชายน่าจะดีกว่าแรงผู้หญิง
ที่นี่เราจะไปพายเรือคายัคกัน ใครพายเรือไม่เป็นก็ไม่ต้องห่วงเพราะจะมีไกด์มาสอนวิธีการพายกันก่อนลงสนามจริง ตอนแรกที่คิดว่าพายเรือเป็นเรื่องหมูๆ ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ทันทีที่ได้ลองจับไม้พายดู โหว แอบยากนะเนี่ย เรือลำหนึ่งขึ้นได้สองคน แนะนำว่าให้มีผู้ชายไปด้วยเพราะแรงผู้ชายน่าจะดีกว่าแรงผู้หญิง
พี่ไกด์พาพวกเราพายเรือลัดเลาะไปตาม ภูเขาหินสูงใหญ่ที่ทิ้งร่องรอยประวัติศาสตร์ไว้อย่างไม่น่าเชื่อเพราะเมื่อสมัย 80 กว่าปีก่อนเคยเป็นสุสาน พายเรือไปฟังเสียงสำเนียงใต้ไปก็เพลินดี
ผ่านจากสุสานนั้นมาได้สักพัก เราก็พาเรือมาหยุดที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ลากูน” ลักษณะเป็นเขาหินปูนขนาบสองข้างที่มีพื้นเป็นทราย รู้สึกเหมือนเข้าไปในถ้ำที่หลังคาเปิดโล่ง คุณพี่ไกด์เล่าว่าที่นี่จะใช้เป็นที่หลบพายุของชาวเรือ
สถานีต่อไปคือ
แคนยอน “ท่าเลนแคนยอน อันซีนไทยแลนด์”
เรือเล็กของพวกเราค่อยๆ
กระดืบเข้าไปในช่องโตรกหินสูงสองข้างที่มีต้นไม้ขึ้นแทรกตลอดซ้ายขวาและสายน้ำตรงกลาง เข้ามาแล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในเทพนิยายจริงๆ
เป็นความสวยงามที่ไม่ได้อาจบรรยายได้ดีเทียบเท่ากับสิ่งที่ตากำลังมองเห็น
ความรู้สึก ณ ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือ คุ้มมากๆ ที่ได้มาที่นี่
สายน้ำช่วงนี้เป็นน้ำตื้นๆ
มองเห็นผืนดินข้างล่างได้เลยเพราะน้ำใส
เราต้องคอยพายเรือหลีกเนินทรายที่ขึ้นกลางน้ำเป็นบางช่วง ความสูงของภูผาและความร่มรื่นของเหล่าแมกไม้ทำให้ไม่ร้อนและยังมีสายลมเย็นๆ
พัด เพิ่มความสดชื่นไปอีก
ได้เวลาพายเรือย้อนกลับไปทางเดิม
จริงๆ แล้วเราต้องพายต่อไปข้างหน้าเพราะเราจะพายเป็นวงกลม
ถ้าไปข้างหน้าก็จะเป็นป่าโกงกาง แต่เนื่องจากว่าเรามาตอนบ่าย น้ำมันจะลด เนินทรายผุดทำให้พายเรือไม่ได้
เพราะฉะนั้นแนะนำว่าควรมาพายรอบเช้าดีกว่า แต่ถึงไม่ได้เห็นระบบนิเวศป่าโกงกาง
คุณพี่ไกด์ก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ด้วยการพาไปชมปลาดาว หอยหลอด
และปูทหารซึ่งพวกมันวิ่งเร็วมากจนเราไม่ทันได้เห็นมันชัดๆ
เร็วยิ่งกว่านักวิ่งมาราธอนซะอีก รวมเวลาทั้งหมดประมาณ เกือบสามชั่วโมง เล่นเอาเหงื่ออาบหน้าเลยทีเดียว
ในมื้อเย็นเราจะไปดินเนอร์กันในตัวเมืองเพราะพี่ไกด์ของเราแนะนำว่าร้านอาหารในเมืองจะถูกกว่าแถวอ่าวนาง
ส่วนวิธีการไปในเมืองก็มีทั้งรถโดยสาร คนละ 40 บาท หรือจะเช่ามอเตอร์ไซด์ขับกินลมชมวิวก็ได้ ในเมืองห่างจากอ่าวนางเพียง
15 กิโลเท่านั้น แต่พอถามถึงค่ามัดจำรถก็ต้องขอบาย ค่ามัดจำคันละเก้าพันพร้อมบัตรประชาชนสำหรับคนไทย
ถ้าเป็นชาวต่างชาติก็แค่วางพาสปอร์ตไว้ ไม่ต้องวางมัดจำ
สุดท้ายก็เลยเหมารถสองแถวแดงไปกัน ที่นี่จะมีรถสองแถวแดงให้เหมาเยอะมาก ราคาก็พันอัพ
เซลฟี่กับ
“ปูดำ” สัญลักษณ์เมืองกระบี่
สถาปัตยกรรมรูปปูสีดำตัวใหญ่ราวสองเมตรตั้งตระหง่านโชว์กล้ามโตๆ
ของมันให้ชาวประชาได้ถ่ายรูป ที่เห็นนี้คือ“อนุสาวรีย์ปูดำ”
เป็นสัญลักษณ์เมืองกระบี่ และด้านข้างปูดำก็มีลานโล่งๆ กว้างๆ สำหรับเป็นจุดชมวิวของแม่น้ำกระบี่และภูเขาสองลูกขนาบข้าง
เดินเพลิน
“ถนนคนเดินกระบี่”
สถานีต่อไป คือ ถนนคนเดิน
ที่นี่ไม่ต่างจากตลาดนัดทั่วไปที่เราเคยเห็น มีทั้งนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ
แต่สิ่งที่น่าดึงดูดสายตามากที่สุดเห็นจะเป็นเด็กหญิงที่กำลังทำท่าร่ายรำช่วยเพิ่มมนต์เสน่ห์วิถีชีวิตของกระบี่
ตะลุย
4 เกาะอันดามัน
สวรรค์ทะเลใต้
เช้าวันที่สองนี้พวกเราจะพาไปตะลุย 4 เกาะอันดามัน ตอนแปดโมงมีนัดให้ไปขึ้นรถหน้าโฮสเทล
ผู้ร่วมก๊วนวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเรา แต่ยังมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ไปเกือบเต็มคันรถ
รถแล่นผ่านหาดนพรัตน์ธาราได้ไม่นานก็ถึงท่าเรือที่จะพาเราไปยังเกาะต่างๆ เรือที่นั่งไปบรรจุลูกเรือได้ลำละ
15 คัน บวกกับไกด์ 1 คนที่ขนมุกมาเล่นจนคิดว่าคณะตลกมาเอง
และกัปตันเรืออีก 2 ก่อนลงเรือไกด์ก็ให้พวกเราถอดรองเท้ารวมกันใส่ไว้ในถุงตะข่าย
เราจะไปตะลุยเกาะด้วยเท้าเปล่าเปลือยพร้อมเสื้อชูชีพคนละตัว
สถานที่แรกที่เราไปเยือนคือ ถ้ำพระนาง
ซึ่งมีหินงอกหินย้อยอยู่ด้วย
ทางเดินที่ลัดเลาะตามขอบถ้ำนำไปสู่ริมหาดอีกฝั่งหนึ่ง
ที่นั่นมีศาลพระนางตั้งอยู่ให้คนไปสักการะบูชา
เชื่อกันว่าถ้าไปบนไว้ต้องนำปลัดขิกไปแก้บน
และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมปีนเขา
ใครที่ต้องการความท้ายทายก็เชิญไปลองได้
ไปต่อกันที่คือ
เกาะไก่ ที่นี่เราจะมาดำน้ำ ชมปลา เป็นการดำน้ำแบบสน๊อกเกิ้ล มองเห็นฝูงปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายรอบ
ๆ ตัว ใครที่ไม่อยากลงน้ำแนะนำว่าให้ลงไปเถอะ เพราะถ้าอยู่บนเรือ
เรือมันจะโคลงไปมาอาจทำให้เมาเรือได้
เมื่อดำน้ำจนหนำใจก็กลับขึ้นเรือเพื่อไปยัง
เกาะปอดะ กันต่อ เกาะนี้สวยมากๆ เห็นหาดทรายสีขาวละเอียด
น้ำทะเลสีเขียวมรกตก็พาลให้นึกถึงฉากทะเลในหนังดังของฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่เคยมาถ่ายทำ
วันนี้ได้มาสัมผัสด้วยตาตัวเองแล้ว มันสวยงามยิ่งกว่าที่เห็นจากในหนังซะอีก
พวกเราพักรับประทานอาหารกลางวันที่นี่
คุณพี่ไกด์ปล่อยให้พวกเราลั้ลลากับเกาะนี้ได้เต็มที่หนึ่งชั่วโมง เราก็ไม่รอช้า
จัดแจงหามุมสวยๆ เก็บภาพทันที ที่เกาะนี้มีห้องน้ำไว้บริการแถมยังไม่เสียค่าเข้าด้วย
ออกจากเกาะปอดะประมาณบ่ายโมง
มุ่งหน้าไปยัง เกาะทับหรือทะเลแหวก
ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนักต่อ ทะเลแหวกเกิดจากเนินทรายของเกาะสามเกาะที่เชื่อมต่อกัน
คือ เกาะทับ เกาะหม้อ เกาะไก่ เกิดจากปรากฏการณ์น้ำลง
แต่เวลาที่พวกเราไปน้ำมันยังไม่ลงพอที่จะเห็นทะเลแหวกชัดเจน
เป็นทะเลแบบไม่ตั้งใจแหวก
คุุณพี่ไกด์บอกว่าต้องรอประมาณบ่ายสองหรือสามโมงเย็นถึงจะเห็นชัดกว่านี้
เราจึงต้องกลับไปไม่ทันได้เห็นตอนที่ทะเลแหวกอย่างเต็มที่
ชิมอาหารแซ่บเว่อร์ ณ ร้าน วังทราย
ช่วงเย็นวันนี้เราไม่มีโปรแกรมไหนนอกจากทานอาหารค่ำและเดินเล่นริมชายหาด เป็นร้านอาหารติดริมทะเล สามารถนั่งทานอาหารไป นั่งชมวิวไปด้วย ส่วนเรื่องรสชาตินั้นให้ 9 เต็ม 10 อร่อยมาก ขอแนะนำเมนูผัดฉ่าปลากระพง แซ่บเฟ่ออออ ก้าวเท้าออกจากร้านอาหารวังทรายแล้วเราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ชายหาด ชมทะเลยามค่ำคืน ลมทะเลเย็นสบาย ก่อนจะเดินกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันต่อไป
ช่วงเย็นวันนี้เราไม่มีโปรแกรมไหนนอกจากทานอาหารค่ำและเดินเล่นริมชายหาด เป็นร้านอาหารติดริมทะเล สามารถนั่งทานอาหารไป นั่งชมวิวไปด้วย ส่วนเรื่องรสชาตินั้นให้ 9 เต็ม 10 อร่อยมาก ขอแนะนำเมนูผัดฉ่าปลากระพง แซ่บเฟ่ออออ ก้าวเท้าออกจากร้านอาหารวังทรายแล้วเราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่ชายหาด ชมทะเลยามค่ำคืน ลมทะเลเย็นสบาย ก่อนจะเดินกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันต่อไป
สำหรับทริปนี้ไม่ผิดหวังจริง ๆ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังจากทั่วโลกถึงได้เลือกกระบี่เป็นสถานที่ถ่ายทำ
มนต์เสน่ห์แห่งกระบี่ไม่ได้มีเพียงทะเลแสนสวย หาดทรายขาวที่น่าดึงดูดเท่านั้น
วิถีชีวิตชาวใต้ ความมีน้ำใจของผู้คนก็ช่วยเสริมเสน่ห์แห่งเมืองนี้ได้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น